Game-Based Learning เรียนรู้ผ่านเกม สนุกและได้ความรู้

Game-based learning การเรียนรู้ที่ผสมผสานกลไกและองค์ประกอบของเกมเข้ากับการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น
Avatar photo how | November 26, 2024
Game-Based Learning เรียนรู้ผ่านเกม สนุกและได้ความรู้

Game-based learning หรือ การเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เป็นวิธีการสอนที่ผสมผสานกลไกและองค์ประกอบของเกมเข้ากับการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น พัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ และทักษะการสื่อสาร

ติดตามเนื้อหาที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ SPARK EDUCATION


Game-based learning คืออะไร

Game-based learning หรือ การเรียนรู้ผ่านเกม เป็นวิธีการสอนที่ผสมผสานกลไกและองค์ประกอบของเกมเข้ากับการเรียนรู้ ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น พัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ และทักษะการสื่อสาร

หลักการสำคัญของ Game-based learning

1. การมีส่วนร่วม (Engagement)

เกมที่ดีจะดึงดูดความสนใจและสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนอยากเรียนรู้ องค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วม ได้แก่:

  • เป้าหมาย: เกมจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ให้นักเรียนรู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อประสบความสำเร็จ
  • ความท้าทาย: เกมควรมีความท้าทายที่เหมาะสม ให้นักเรียนรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
  • ข้อเสนอแนะ: เกมควรให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนและทันที ให้นักเรียนรู้ว่าพวกเขาทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงอะไร
  • ความสนุกสนาน: เกมควรสนุกสนานและน่าสนใจ ให้นักเรียนอยากเล่นซ้ำ

2. เป้าหมาย (Objectives)

เกมจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน สอดคล้องกับเนื้อหาการเรียนรู้และทักษะที่ต้องการพัฒนา เป้าหมายควรเป็น SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, and Time-bound)

3. ข้อเสนอแนะ (Feedback)

เกมควรให้ข้อเสนอแนะที่ชัดเจนและทันที ให้นักเรียนรู้ว่าพวกเขาทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงอะไร ข้อเสนอแนะที่ดีจะช่วยให้นักเรียนพัฒนาตนเองและประสบความสำเร็จ

4. ความท้าทาย (Challenge)

เกมควรมีความท้าทายที่เหมาะสม ให้นักเรียนรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เกมที่ง่ายเกินไปจะน่าเบื่อ เกมที่ยากเกินไปจะทำให้ท้อแท้

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้หลักการสำคัญของ Game-based learning:

  1. ระดับประถมศึกษาปลาย (ป.4-ป.6)
  • เกมฝึกคำศัพท์ภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ ในรูปแบบจับคู่คำ หรือแข่งขันสะสมคะแนน
  • เกมคณิตศาสตร์ด้านการบวก ลบ คูณ หาร ในรูปแบบเกมผจญภัยต้องแก้โจทย์ไขปริศนา
  • เกมฝึกทักษะการแยกประเภทสิ่งมีชีวิต โดยให้จับกลุ่มและเรียงลำดับสายพันธุ์
  • เกมแผนที่ภูมิศาสตร์ โดยให้วางรูปร่างประเทศบนพื้นผิวโลก
  1. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3)
  • เกมจำลองสถานการณ์เป็นผู้ประกอบการ ต้องวางแผนการตลาด บริหารงบประมาณ
  • เกมแข่งขันตอบปัญหาวิทยาศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ในรูปแบบกิจกรรมตอบคำถาม
  • เกมฝึกประกอบสารเคมี โดยให้เลือกจับคู่สารประกอบตามคุณสมบัติที่กำหนด
  • เกมซิมมูเลชั่นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ฝึกกระบวนการทางเกษตรกรรม
  1. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6)
  • เกมจำลองสถานการณ์เป็นนักบริหารงาน ต้องวางแผนกลยุทธ์ การจัดการทรัพยากร
  • เกมแก้ปัญหาหรือตัดสินใจในสถานการณ์จำลอง โดยนำความรู้หลายวิชามาบูรณาการ
  • เกมออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อฝึกการวิเคราะห์และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
  • เกมแข่งขันตอบปัญหาการเมืองการปกครอง กฎหมาย เศรษฐศาสตร์

หลักสำคัญคือต้องออกแบบเกมให้สอดคล้องกับเนื้อหา ระดับความรู้ และช่วงวัย เพื่อกระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมของนักเรียน พร้อมทั้งสังเกตและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการใช้เกมในห้องเรียนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ประเภทของ Game-based learning:

การเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน (Game-based learning) มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับรูปแบบของเกม กลไก และเนื้อหาการเรียนรู้ ประเภทของ Game-based learning ทั่วไป ได้แก่:

1. เกมจำลอง (Simulations)

เกมจำลองช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับระบบหรือกระบวนการที่ซับซ้อน โดยการจำลองสถานการณ์จริง ตัวอย่างเกมจำลอง เช่น:

  • เกมจำลองการบิน ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการของการบิน
  • เกมจำลองการผ่าตัด ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับอวัยวะภายในของร่างกาย
  • เกมจำลองระบบเศรษฐกิจ ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับกลไกของตลาด

2. เกมบทบาทสมมุติ (Role-playing Games)

เกมบทบาทสมมุติช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพหรือสถานการณ์ต่างๆ โดยการสวมบทบาทเป็นตัวละคร ตัวอย่างเกมบทบาทสมมุติ เช่น:

  • เกมจำลองการเป็นหมอ ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับการวินิจฉัยและรักษาโรค
  • เกมจำลองการเป็นนักสืบ ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน
  • เกมจำลองการเป็นนักธุรกิจ ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ

3. เกมไขปริศนา (Puzzles)

เกมไขปริศนาช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา และการคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างเกมไขปริศนา เช่น:

  • เกมจับคู่ภาพ
  • เกมต่อจิ๊กซอว์
  • เกมทายปริศนา

4. เกมกลยุทธ์ (Strategy Games)

เกมกลยุทธ์ช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะการวางแผน การคิดล่วงหน้า และการตัดสินใจ ตัวอย่างเกมกลยุทธ์ เช่น:

  • เกมหมากรุก
  • เกมเศรษฐี
  • เกมสร้างอาณาจักร

5. เกมการ์ด (Card Games)

เกมการ์ดช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ และการตัดสินใจ ตัวอย่างเกมการ์ด เช่น:

  • เกมโป๊กเกอร์
  • เกมแบล็คแจ็ค
  • เกมยูโน่

6. เกมกระดาน (Board Games)

เกมกระดานช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ และการตัดสินใจ ตัวอย่างเกมกระดาน เช่น:

  • เกมเศรษฐี
  • เกมหมากฮอส
  • เกมลูโด

7. เกมดิจิทัล (Digital Games)

เกมดิจิทัลเป็นเกมที่เล่นบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต ตัวอย่างเกมดิจิทัล เช่น:

  • เกม Minecraft
  • เกม Roblox
  • เกม Fortnite

8. เกมที่ไม่ใช้เทคโนโลยี (Non-digital Games)

เกมที่ไม่ใช้เทคโนโลยีเป็นเกมที่เล่นโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเกมที่ไม่ใช้เทคโนโลยี เช่น:

  • เกมซ่อนหา
  • เกมกระโดดยาง
  • เกมชักเย่อ

การเลือกประเภทของ Game-based learning ที่เหมาะสม:

  • ประเภทของเนื้อหาการเรียนรู้
  • วัยและความสนใจของนักเรียน
  • เป้าหมายการเรียนรู้
  • ทรัพยากรที่มีอยู่

ข้อดีของ Game-based learning:

  • ช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น
  • พัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ และทักษะการสื่อสาร
  • เตรียมความพร้อมให้นักเรียนสำหรับการประกอบอาชีพในศตวรรษที่ 21

สรุป

Game-based learning มีหลายประเภท แต่ละประเภทมีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกัน ครูควรเลือกประเภทของ Game-based learning ที่เหมาะสมกับเนื้อหาการเรียนรู้ วัยและความสนใจของนักเรียน เป้าหมายการเรียนรู้ และทรัพยากรที่มีอยู่

ติดตามเนื้อหาที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่